วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

เลี้ยงปลาไหลขังเดี่ยวในล้อยาง โตดี รอดตายสูง

สวัสดีค่ะ ผู้เยี่ยมชมบล็อกของเราค่ะ วันนี้จะนำสาระเรื่องการเลี้ยงปลาไหลในล้อยางได้ผลดี มีอัตราในการรอดตายสูงซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจทำเป็นอาชีพเสริมค่ะ

แม้ว่าราคาซื้อขายปลาไหลตามท้องตลาดค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์น้ำจืดชนิดอื่น แต่ทว่ากลับไม่ค่อยมีใครเลี้ยงปลาชนิดเป็นอาชีพมากนัก ด้วยว่าหากนำมาเลี้ยงในพื้นที่จำกัด และไม่มีการจัดการบ่อที่ดีพอเปอร์เซ็นต์รอดชีวิตนั้นมีค่อยข้างน้อย

ดังนั้น ปลาไหลที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ส่วนใหญ่มักจะหามาจากธรรมชาติเกือบทั้งนั้น มิแปลกที่ราคาค่อนข้างสูงกว่าปลาเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ ด้วยว่าในคลอง หนอง บึง นับวันมีสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป บางท้องถิ่นกลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรและโรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้น การจับปลาไหลมาขังเดี่ยวในล้อยาง โตดี รอดชีวิตสูงนี้ เป็นผลงานของ อ.ประพัฒน์ ปานนิล ที่ระนอง
อาจารย์เล่าว่า ก่อนที่จะประสบความสำเร็จ ก็ประสบปัญหามาเหมือนกัน เพราะว่ายางในรถจักรยานยนต์มีกลิ่น และสิ่งสกปรกอยู่เยอะ หากเรานำมาเลี้ยงปลาเลย ก็ทำให้น้ำเน่าเสียได้เร็ว และส่งผลให้ปลาตายหรือไม่ค่อยกินอาหารได้เหมือนกัน

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงฮวก หรือ ลูกอ๊อด อนาคตรุ่ง

หมกฮวก ซึ่งถือเป็นเมนูจานเด็ดที่อยู่คู่ชาวอีสานมาช้านาน แม้จะโด่งดังไม่เท่าส้มตำ แต่ชาวอีสานแท้ๆ ก็นิยมบริโภคกันมาก เรียกว่าจะขาดไม่ได้
การที่มีความต้องการบริโภคหมกฮวกกันมาก ลูกกบหรือลูกอ๊อดตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่นำมาทำเป็นหมกฮวกจึงลดน้อยลงและเริ่มขาดแคลน จึงมีเกษตรกรสมองใสคิดเพาะเลี้ยงลูกอ๊อดหรือลูกกบป้อนตลาดเพื่อไม่ให้ขาดแคลน 
นายวุฒิ ทองดีเกษตรกรหนุ่มวัย 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 315 หมู่ 4 บ้านคำมะดูก ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ได้เล่าถึงความเป็นมาในการเพาะเลี้ยงฮวก (ลูกอ๊อด) ว่าตนได้ทดลองลงมือเพาะเลี้ยงฮวกมาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.2539 ซึ่งตนมีผืนนาอยู่ประมาณ 4 ไร่เศษ เป็นพื้นที่สูง ทำนาได้ข้าวปีละไม่กี่ถัง ลำพังนำมาเลี้ยงครอบครัวยังไม่เพียงพอ อย่าว่าแต่นำไปขายเลย เปลี่ยนไปทำการเพาะปลูกแตงกวาก็ไม่ประสพผลสำเร็จ จึงได้ทดลองเลี้ยงฮวกขาย โดยการปรับพื้นที่นาผืนเดิมให้เป็นบ่อเพาะเลี้ยง ทำเป็นบ่อคอนกรีต (บ่อปูนซีเมนต์) จำนวน 10 บ่อ บ่อดินสำหรับเลี้ยงฮวก 25 บ่อ การเพาะพันธุ์ และการจำหน่าย

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงปลาช่อนในนาข้าว

 สวัสดีวันสดใสค่ะ ผู้เยื่ยมชมบล็อกของเรา วันนี้จะนำสาระเกษตรมาถ่ายทอดให้กับเกษตรกรผู้ชอบเลี้ยงปลาและการใช้ประโยชน์จากนาข้าว สำหรับผู้ที่อยากจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทัังเกษตรกรที่เลี้ยงอยู่แล้วค่ะ สาระเรื่องนี้นำมาจาก เอกสารคำแนะนำของกรมประมง และเจ้าของบล็อกก็จะแทรกรูปแบบที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านและผู้สนใจค่ะ ติดตามกันค่ะ....

     ปกติระหว่างฤดูทำ นาในระยะที่นํ้า เอ่อนองเข้าผืนนา ปลาจากแหล่งนํ้าธรรมชาติจะแพร่กระจายจากแม่นํ้า ลำ คลอง เข้าไปอาศัยเลี้ยงตัวและเจริญเติบโตในแปลงนาปีหนึ่งๆ เฉลี่ยแล้วประมาณ 4กิโลกรัมเศษต่อไร่ ด้งนั้นหากชาวนาจะคิดดัดแปลงผืนนาของตนที่ใช้ปลูกข้าวอยู่ให้มีการเลี้ยงปลาในผืนนาควบคู่ไปด้วยแล้ว นาข้าวซึ่งเคยได้ปลาเป็นผลพลอยได้พิเศษอยู่ก่อนเพียงเล็กน้อย ก็จะให้ผลผลิต

ปลาเพิ่มขึ้นเป็น 20 กิโลกรัมต่อไร่หรือกว่านั้น โดยที่ประเทศไทยมีเนื้อที่นาทั่วทั้งประเทศประมาณ 43ล้านไร่ หากสามารถคิดใช้ผืนนาให้เป็นประโยชน์นอกเหนือจากการปลูกข้าวแต่อย่างเดียวเพียงแค่ 1 ใน 100 ของเนื้อที่นาทั่วประเทศ โดยคัดเลือกแปลงนาที่เหมาะสม ดัดแปลงและปรับปรุงเพื่อใช้เลี้ยงปลาควบคู่ไปกับการทำ นา โดยปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาแล้วในปีหนึ่งๆ จะได้ผลผลิตจากปลาเพิ่มขึ้น เป็นจำนวนหมื่นๆ ตัน ซึ่งวิธีการนี้เป็นการเพิ่มอาหารและรายได้บนผืนนาเดิมของพี่น้องชาวไทยนั่นเองและจากวิธีการดังกล่าวนี้ก็

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงปลาดุกในโอ่ง

สวัสดีค่ะ ผู้แวะเยี่ยมบล็อก นานาสาระเกษตร วันนี้จะนำสาระความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาดุกในโอ่งแบบง่ายๆ มาให้ได้ดูกันค่ะ ที่ว่าง่ายๆ ก็คือ หาซื้อ ได้ไม่ยุ่งยาก เลี้ยงเอง กินเอง เหลือก็ขาย แล้วแต่ว่าจะมีเวลาสะดวกค่ะ สำหรับคนที่จะทำแบบจริงจัง ก็ให้ศึกษาตลาดของปลาดุกให้ดี ว่าเราจะขายที่ไหน หรือจะทำการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ยังไงจะนำเรื่องการแปรรูปของปลาดุกมีแบบไดบ้าง มีวิธีการไหนบ้างมาบอกกันในวันหน้าแล้วกันนะค่ะ

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์นั้น
 ต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเลี้ยงปลาดุก ดังนี้ 
1. เตรียมโอ่งซีเมนต์  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร  สูง 50 เซนติเมตร ส่วนบริเวณก้นโอ่งท่านควรจะมีท่อระบายน้ำเพื่อใช้สำหรับถ่ายน้ำออก
ก่อนที่ท่านจะนำปลาลงมาเลี้ยงนั้นควรจะเอาน้ำใส่โอ่งทิ้งไว้สักระยะหนึ่งและล้างโอ่งซีเมนต์ให้สะอาดไม่ควรให้มีคราบของปูนซีเมนต์หลงเหลืออยู่  หากคราบปูนซีเมนต์ยังออกไม่หมดอาจทำให้ลูกปลาดุกที่ท่านนำมาเลี้ยงตายได้  วิธีขจัดคราบปูนซีเมนต์ควรหาหยวกกล้วยมาแช่ในท่อซีเมนต์ประมาณ 2 สัปดาห์  จึงสามารถเอาหยวกกล้วยออกจากท่อซีเมนต์แล้วล้างภายในโอ่งให้สะอาด  จากนั้นก็เริ่มปล่อยน้ำเข้าโอ่งซีเมนต์โดยระดับน้ำที่จะเลี้ยงลูกปลาดุกไม่ควรสูงมาก  เพราะลูกปลาดุกจะขึ้นมาหายใจสะดวก ระดับน้ำสูงประมาณ 20 เซนติเมตร  ซึ่งในแต่ละท่อปูนซีเมนต์ควรใส่ลูกปลาดุก 80-100 ตัว เป็นจำนวนที่เหมาะสม ในระหว่างอนุบาลลูกปลาดุกท่านควรหาผักตบชวามาใส่บ่อบ้างเพราะลูกปลาดุกจะชอบเข้าไปอาศัยในรากของผักตบชวา  ลูกปลาดุกยังได้กินดินหรือแพลงก์ตอนในรากผักตบชวาอีกด้วย

โดยในช่วงอนุบาลลูกปลาดุกจะให้อาหารสำเร็จรูปแบบเม็ด  กินอย่างเต็มที่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ 15-20 วัน ก็นำผักตบชวามาหรือพืชน้ำอื่นๆ ใส่ลงไปในบ่อซีเมนต์ประมาณ 5 กอต่อ 5 วัน พร้อมกับปรับระดับน้ำให้สูงขึ้นด้วยและค่อย ๆ ลดอาหารสำเร็จรูปโดยเมื่อปลาหิวจัดมันจะกินผักตบชวา  แม้ว่าผักตบชวาจะไม่มีค่าโปรตีนเลยแต่สามารถลดความหิวของปลาได้  ตกเย็นจึงเสริมด้วยอาหารสำเร็จรูป  เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ปลาในจุดนี้แม้ว่าปลาจะได้อาหารที่มีโปรตีนต่ำ  แต่เมื่อปลาอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดการเคลื่อนไหวและการใช้พลังงานก็น้อยและในการเลี้ยงปลาแบบนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน  จะได้ปลาขนาด 3-4 ตัวต่อกิโลกรัม และในระหว่างการเลี้ยงจะมีการใช้น้ำหมักชีวภาพเพื่อช่วยในการปรับคุณภาพน้ำได้อีกด้วย  โดยจะใส่ทุกครั้งหลังจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำหรือตามความเหมาะสม  น้ำหมักชีวภาพที่นำมาใช้จะผลิตขึ้นมาเองโดยใช้กล้วยน้ำว้า  ฟักทอง  และมะละกอ  อย่างละ 3 กิโลกรัม สับให้ละเอียดจากนั้นนำมาคลุกผสมกับกากน้ำตาล 3 กิโลกรัม หมักปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 7 วัน จากนั้นนำน้ำสะอาดปริมาตร 9 ลิตร เทใส่ลงไปพร้อมกับคนให้ส่วนผสมดังกล่าวคลุกเคล้าให้เข้ากัน  ตั้งทิ้งไว้อีกประมาณ 15 วัน หรือเมื่อมีกลิ่นหอมก็สามารถนำไปใช้งานได้ตามความต้องการ


ขั้นตอนการปล่อยพันธุ์ปลา
นำลูกปลาดุกใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ ค่อยๆนำน้ำในโอ่งเติมไปทีละน้อย เพื่อปรับอุณหภูมิค่อยๆปล่อยลูกปลาดุกลงในโอ่งซีเมนต์โดยในช่วงอนุบาลลูกปลาดุกจะให้อาหารสำเร็จรูปแบบเม็ด  กินอย่างเต็มที่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เมื่อเลี้ยงได้ประมาณ 15-20 วัน ก็นำผักตบชวามาใส่ลงไปในท่อปูนซีเมนต์ประมาณ 5 กอต่อ 5 วัน พร้อมกับปรับระดับน้ำให้สูงขึ้นด้วยและค่อย ๆ ลดอาหารสำเร็จรูปโดยเมื่อปลาหิวจัดมันจะกินผักตบชวา  แม้ว่าผักตบชวาจะไม่มีค่าโปรตีนเลยแต่สามารถลดความหิวของปลาได้  ตกเย็นจึงเสริมด้วยอาหารสำเร็จรูป  เพื่อเพิ่มโปรตีนให้ปลาในจุดนี้แม้ว่าปลาจะได้อาหารที่มีโปรตีนต่ำ  แต่เมื่อปลาอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดการเคลื่อนไหวและการใช้พลังงานก็น้อยและในการเลี้ยงปลาแบบนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน  จะได้ปลาขนาด 3-4 ตัวต่อกิโลกรัม
และในระหว่างการเลี้ยงจะมีการใช้น้ำหมักชีวภาพเพื่อช่วยในการปรับคุณภาพน้ำได้อีกด้วย  โดยจะใส่ทุกครั้งหลังจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำหรือตามความเหมาะสม  น้ำหมักชีวภาพที่นำมาใช้จะผลิตขึ้นมาเอง

วิธีการเลี้ยงปลาด้วยน้ำหมักชีวภาพ

                เมื่อเอาน้ำใส่โอ่งจนได้ที่แล้ว ให้ใส่น้ำหมักชีวภาพลงไปเพียงเล็กน้อยตามความเหมาะสม เพื่อให้จุลินทรีในน้ำหมักไปปรับสภาพน้ำให้เป็นปกติก่อน เมื่อนำปลาลงไปเลี้ยง ค่อยๆสังเกตคุณภาพน้ำและตัวปลาว่ามีอาการผิดปกติใดบ้าง

หากปกติก็ให้ใสน้ำหมักเพียงเล็กน้อยในรอบ 10 วัน หากว่าคุณภาพน้ำเปลี่ยนไปมากก็ให้เพิ่มน้ำหมักชีวภาพให้มากกว่าที่ใส่ปกติ รอบการใส่ก็ให้ถี่ขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับจำนวนปลาและขนาดของโอ่งที่ใช้เลี้ยงด้วย


ผลที่ได้
ปลาเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง น้ำไม่มีกลิ่นเหม็น

แหล่งที่มา : gotoknow.org/blogs/posts/
ภาพบางส่วนจากอินเตอร์เน็ต          


วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงไข่ผำ

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆบล็อก นานาสาระเกษตร ทุกท่าน วันนี้บังเอิญน้องๆที่ทำงานพูดถึงอาหารการกิน ไม่รู้ยังไงพูดไปพูดมาถึงได้พูดถึงเมื่อสมัยตอนเด็ก ได้กิน ไข่ผำ เจ้าของบล็อก เห็นว่าน่าสนใจดี อีกอย่างบางคนก็อาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำไป ก็เลยลองๆเข้าไปหาดูใน  Google ของเค้าดีจริงๆ หาอะไรก็เจอ ถึงว่ามีคนพูดว่า ถ้าไม่รู้ถาม "กู" 55+ ทีนี้เรามาทำความรู้จักกับ ไข่ผำ หรือไข่น้ำกันดีกว่า ว่าไอ้เจ้าไข่ชนิดนี้ เป็นมายังไง
องค์ความรู้ ผำหรือเรียกว่า ไข่แหน (Fresh water Alga , Swapm Algae) รู้จักกันในชื่อ ไข่น้ำ , ไข่ขำ , และ ผำ มีชื่อพื้นเมืองทางภาคเหนือเรียกว่า ผำ ทางภาคกลางเรียกว่า ไข่น้ำ ส่วนภาคอีสานเรียกว่า ไข่ผำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า วอลฟ์เฟีย กลอโบซ่า (Wolffia globosa Hartog & Plas) จัดอยู่ในวงศ์เล็มนาซีอี้ (LEMNACEAE)
ไข่ผำ จัดเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ อาจลอยอยู่เป็นกลุ่มล้วน ๆ หรือลอยปนกับพืชชนิด
อื่นๆ เช่น แหน , แหนแดง ก็ได้ ไข่ผำ เป็นพืชมีดอกที่มีขนาดเล็กที่สุด รูปร่างเป็นเม็ดกลมเล็ก ๆ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๐.๑ ๐.๒ มม. มีสีเขียวลอยอยู่บริเวณผิวน้ำเป็นแพ มักเกิดในธรรมชาติที่น้ำใส นิ่ง เช่น บึง หนองน้ำ ผำจะพบมากในฤดูฝน นำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ผัดไข่ผำใส่หมู แกงไข่ผำ
ผำจะมีรสมัน ผำ ๑๐๐ กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย ๘ กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วย เส้นใย ๐.๓ กรม แคลเซียม ๕๙ มิลลิกรม ฟอสฟอรัส ๒๕ มิลลิกรัม เหล็ก ๖.๖ มิลลิกรัม วิตามินเอ ๕๓๔๖IU วิตามินบีหนึ่ง ๐.๐๓ มิลลิกรัม วิตามินบีสอง ๐.๐๙ มิลลิกรัม ไนอาซิน ๐.๔ มิลลิกรัม วิตามินซี ๑๑ มิลลิกรัม คุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำ มีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีนสูงมาก แต่เพราะใน ไข่ผำมีสารพิษต้านฤทธิ์สารอาหาร จึงต้องนำไข่ผำมาทำให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้ง

ผำมีการขยายพันธุ์ มี 2 แบบคือ
   1. การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เนื่องจากไข่แหนเป็นพืชมีดอกขนาดเล็กที่สุด ดอกของไข่แหนจะเจริญเติบโตออกทางช่องข้างบนของต้น ดอกไม่มีกลีบดอก และไม่มีกลีบเลี้ยง ดอกตัวผู้จะมีเกสรตัวผู้ 1 อัน ประกอบด้วยอับละอองเรณู 2 อับ ดอกตัวเมียมีรังไข่ที่มี 1 ช่องและมีไข่อยู่ 1 ใบ ก้านเกสรตัวเมียสั้น ยอดเกสรตัวเมียมีลักษณะแบน เมล็ดมีขนาดเล็ก กลมเกลี้ยง ยังไม่ปรากฏว่าไข่แหนมีดอกในประเทศไทย มีแต่รายงานการพบเห็นในประเทศอื่น ไข่แหนจะมีดอกและเมล็ดในราวๆเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม 2. การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแตกหน่อ ซึ่งมีผู้ทำการศึกษา การเจริญเติบโตแล้วพบว่า โดยเฉลี่ย ไข่แหนแต่ละต้นจะแตกหน่อให้ต้นใหม่ทุกๆ 5 วัน
ประโยชน์ของผำ
   สามารถนำมาปลูกเลี้ยงไว้ในพื้นที่ขนาดเล็ก เหมาะแก่การนำมาใช้ทำเป็นอุปกรณ์ในการศึกษา เช่นการศึกษาอิทธิพลของสารควบคุมการขยายพันธุ์ของพืช  เป็นอาหารของสัตว์น้ำและสัตว์ปีกหลายชนิดนอกจากนี้ ไข่แหน  ยังมีแคลเซียมและเบต้าแคโรทีนสูง
   การเพาะเลี้ยงไข่น้ำ (ผำ)
   ขุดบ่อดินขนาดความลึกประมาณ 1 เมตร กว้าง 1 เมตรและยาวประมาณ 4 เมตร นำพลาสติกสีดำรองพื้นในบ่อ เพื่อป้องกันมิให้น้ำซึมออก ใส่ปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยคอก 20 กิโลกรัม ตามขนาดของบ่อ  เติมจุลินทรีย์ประมาณ 0.5 ลิตร ปล่อยน้ำเข้าบ่อให้เต็ม  แล้วนำพันธุ์ไข่น้ำใส่ลงไป ประมาณ 7 วัน จะขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว  สามารถเก็บไปจำหน่ายหรือรับประทานได้
   ผำ  เป็นวัชพืชของสาหร่าย  เลี้ยงไว้เพื่อใช้บริโภคในประเทศไทย  ผำคือพืชผักชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าทางอาหาร ชาวชนบทนิยมใช้เป็นอาหาร ส่วนแนวโน้มที่จะพัฒนาผำเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและความนิยมของผู้บริโภค เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ
เอกสารอ้างอิง: นัย  บำรุงเวช. โรงพิมพ์พิฆเนศ กทม. ผำเม็ดเล็กคุณภาพล้น. เทคโนโลยีชาวบ้าน. ปีที่8 ฉบับที่150    ประจำวันที่1 กันยายน 2539

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

การปลูกดอกกระเจียว

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆที่แวะเข้ามาบล็อกนี้ สำหรับบล็อกนี้จะนำสาระเรื่องการเกษตรมาเล่าสู่กันฟังรวมทั้งประสบการณ์จริงที่เจ้าของบล็อกได้ประสบพบเจอมา อีกทั้งเคล็ดลับ รวมถึงการทำการเกษตรในรูปแบบต่างๆ ที่น่าจะมีประโยชน์สำหรับเพื่อนๆไม่มากก็น้อยนะค่ะ มาเล่ากันเลยดีกว่าค่ะ ในหมู่บ้านมีการปลูกดอกกระเจียวกันเยอะ เป็นรายได้หลักของบางครอบครัวเลยก็ว่าได้ค่ะ วันนี้ก็เลยจะนำเอาวิธีการปลูกดอกกระเจียว รวมทั้งการตลาดและส่วนสาระอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับดอกกระเจียวมาเล่าสู่กันฟังค่ะ ครั้งหน้าถ้าได้ไปสวนดอกกระเจียวก็จะนำภาพมาฝากแล้วกันค่ะ ก่อนจะมาดูการปลูกดอกกระเจียวมาทราบถึงประโยชน์และลักษณะอื่นๆ ของดอกไม้ชนิดนี้กันค่ะ
สวนดอกกระเจียว เอามาฝากค่ะ




กระเจียว

ชนิดและพันธุ์
          พืชตระกูลกระเจียว ที่มีการส่งหัวพันธุ์ไปต่างประเทศมากที่สุด  คือ ปทุมมา รองลงมาคือ บัวลาย กระเจียวส้ม  และกระเจียวดอกขาว ตลาดต่างประเทศที่สำคัญคือ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ มีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้รวบรวมพันธุกรรมของกระเจียวเพื่อการศึกษาลักษณะต่าง ๆและศักยภาพในการพัฒนาเป็นไม้ใหม่ในตลาดโลก ซึ่งไม้สกุลนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 
 1. กลุ่มปทุมมา ที่มีรายงานได้แก่ ปทุมมา บัวลายปราจีน บัวลายลาว บัวลายกาญจน์ บัวขาว บัวขาวดอกใหญ่ เทพรำลึก ทับทิมสยาม ปทุมรัตน์ ช่อมรกต
  2. กลุ่มกระเจียว ได้แก่ บัวชั้น กระเจียวส้ม พลอยไพลิน พลอยทักษิณ พลอยชมพู และกระเจียวพื้นเมืองตามภาคต่างๆ  ของประเทศ

การเตรียมแปลง
           ควรไถตากดินนาน 10 – 14 วัน   และโรยปูนขาวก่อนปลูก เพื่อช่วยลดปัญหาจากการเกิดโรค   ขนาดแปลง 1.5 เมตร  ระยะปลูก 30 X 30 เซนติเมตร จะปลูกได้ 4 แถว เพื่อสะดวกและง่ายต่อการดูแลรักษา การปลูก ควรรองพื้นด้วยปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 และโรยปุ๋ยรอบโคนต้นทุกเดือน ในอัตรา 0.5 – 1 ช้อนกาแฟต่อต้น (ช้อนปาดไม่ใช่ช้อนพูน)    ลักษณะการวางเหง้าปลูกแบบวางเหง้านอน   จะได้ช่อดอกมากกว่า   ทั้งนี้เกษตรกรสามารถปลูกเพื่อผลิตช่อดอกและผลิตเหง้าในเวลาเดียวกัน

 กระเจียวจะฟักตัวในช่วงอากาศแห้งแล้งและช่วงวันสั้นปกติเหง้าจะฟักตัวช่วงเดือนกันยายน และพร้อมจะงอกต้นใหม่อีกครั้งประมาณเดือนมีนาคม เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่มีอินทรีย์วัตถุสูง ระบาย น้ำดี การปลูกในแปลงต้องใส่ปุ๋ยหมักในอัตรา 3-6 ตันต่อไร่ แปลงปลูกควรมีความกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร ไม่ ควรใช้มูลสัตว์หรือปุ๋ยคอก เพราะจะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรด เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียสาเหตุ โรคเน่า และควรโรยปูนขาวก่อนเตรียมแปลงปลูก ซึ่งจะทำให้ดินมีสภาพเป็นด่าง ช่วยลดโอกาศการเกิดโรคเน่า ดังกล่าว
     สำหรับการปลูกในกระถางหรือถุงพลาสติกควรใช้ดินผสมโดยใช้ทราย : ขุยมะพร้าว : ถ่านแกลบ อัตรา 2 : 1 : 2 และผสมทรายหยาบเพิ่มในอัตราส่วน 1 : 1 ช่วยเพิ่มการระบายน้ำให้ดีขึ้น การปลูกที่ทำให้เกิดการแตกกอได้ดีคือการปลูกให้ยอดของเหง้าชี้ลงดิน กลบหัวลึก 5 ซม. การปลูกด้วย วิธีนี้จะทำให้อิทธิพลการข่มของตายอดลดลงตามขวางของหัวพันธุ์ที่มีอยู่ 3 - 5 ตานั้นจะเจริญเป็นหน่อใหม่ได้ ทำให้เกิดยอดขึ้นจำนวนมากทรงพุ่มงดงามและเกิดดอกมากตามไปด้วย




การปลูกในกระถางนั้นควรปลูก 3 หัวต่อกระถาง แต่ถ้ามีหัวพันธุ์จำนวนน้อยให้ใช้วิธีผ่าหัวตามยาว ให้ หัวพันธุ์ทั้งสองซีกมีตาข้างติดอยู่ 1-2 ตา ทายาป้องกันเชื้อราหรือป้ายปูนแดงที่บริเวณรอยแผล แล้วนำชิ้นพันธุ์ ทั้งสองไปแยกปลูก ให้รอยแผลหันขึ้น จะมีโอกาสมากที่สุด พืชสกุลนี้มีปริมาณความต้องการน้ำที่ต่างกันคือชนิดที่มีใบค่อนข้างบาง จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่มี ความชื้นในอากาศสูง ส่วนพวกใบค่อนข้างหนาเจริญเติบโตใด้ดีในสภาพที่ความชื้นในอากาศต่ำควรรดน้ำวันละครั้งช่วงเช้า ยกเว้นวันที่ฝนตกการรดน้ำต้องมากเพียงพอที่จะทำให้ดินชื้นตลอดทั้งวันและแห้งก่อนหัวค่ำ

ควรพรางแสงลง 50-70 เปอร์เซ็นต์ ให้กับพวกที่มีใบบาง และประมาณ 30 - 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับพวกที่มีใบหนา ต้นที่ได้รับแสงน้อยลำต้นจะอวบอ้วนและสูง อ่อนแอต่อโรค และอาจทำให้ใบประดับเหี่ยวได้ง่าย แต่ถ้าแสงมากเกินไปจะทำให้ขอบใบไหม้ สีใบประดับซีดเร็ว ก้านช่อดอกสั้นและอ่อน หักล้มได้ง่าย 
การให้ปุ๋ย ควรให้เดือนละครั้ง โดยช่วงเริ่มปลูกควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนหรือตัวหน้าสูง เช่น 21 - 7 - 14, 15 - 0 - 0 หรือให้สูตรเสมอ เช่น 16 - 16 - 16 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของต้นและใบ เมื่อต้นโตแล้วก็ให้ปุ๋ยสูตรที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงเพื่อช่วยให้มีการสะสมอาหารไว้ในเหง้าและรากมากขึ้นทำให้เหง้ามีขนาดใหญ่สมบูรณ์ ซึงจะให้ดอกที่มีคุณภาพสูง เช่น สูตร 8 - 16 - 24, 14 - 14 - 21 โรยปุ๋ยรอบโคนต้น อัตรา 0.5 - 1 ช้อน หลังจากโรยปุ๋ยแล้วควรพรวนดินให้เมล็ดปุ๋ยแทรกตัวเข้าใกล้ระบบรากของพืช
การให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ยกเว้นฝนตก  ต้องดูแลเรื่องความชื้นในดินให้เพียงพอและสม่ำเสมอ การให้น้ำที่ดีไม่ทำให้ดอกเสียหายคือการให้นำแบบสปริงเกลอร์และคลุมด้วยฟางเพื่อช่วยรักษาความชื้น หลักจากที่ปทุมมาเติบโตเต็มที่ ออกดอก จนกระทั่งดอกโรย ใบโทรมและเหลือง
จนถึงช่วงที่ใกล้ลงหัวแล้ว ช่วงนี้เริ่มงดน้ำ เพื่อให้ต้นยุบตัวและทำให้เก็บผลผลิตได้เร็วจึ้น

การขยายพันธุ์

1. การเพาะเมล็ด เนื่องจากว่าพืชสกุลนี้มีการพักตัวโดยธรรมชาติ จึงควรนำเมล็ดไปเก็บไว้ก่อน แล้วนำมาเพาะในฤดูปลูกถัดไป (ราวกลางเดือนเมษายน เป็นต้นไป) กระเจียวหลายชนิดติดเมล็ดได้ง่ายตามธรรมชาติ จึงสามารถนำเมล็ดมาเพาะได้แต่จะพบความแปรปรวนของต้นกระเจียวในการขยายพันธุ์แบบนี้ เพราะเมล็ดที่ได้อาจเกิดจากการผสมข้ามพันธุ์ตามธรรมชาติ
2. การแยกหัวปลูก เป็นวิธีที่เกษตรกรนิยมปฏิบัติ ช่วงฤดูปลูกที่เหมาะสม คือ ในช่วงต้นฤดูฝน เนื่องจากสามารถให้ดอกได้เร็ว
3. การผ่าเหง้าปลูก เป็นวิธีการเพิ่มชิ้นส่วนของหัวพันธุ์ให้มากขึ้น โดยผ่าแบ่งตามยาวเป็น 2 ชิ้น เท่าๆ กัน     แนวการผ่าจะต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างตาที่อยู่สองข้างของเหง้า ชิ้นเหง้าที่ได้ควรมีตาข้างทีสมบูรณ์ไม่น้อยกว่า 1 ตา และมีรากสะสมอาหารติดมาด้วยอย่างน้อย 1 ราก วิธีนี้จะเป็น
การประหยัดค่าหัวพันธุ์เริ่มต้น แต่เกษตรกรไม่นิยมเนื่องจากมีปัญหาเรื่องโรคเข้าทำลายบริเวณบาดแผล
 4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ   เป็นการเลี้ยงจากส่วนของช่อดอกอ่อนที่ได้จากต้นที่ไม่เป็นโรค   และยังมีกาบใบห่อหุ้มอยู่จะดีที่สุด  มีข้อดีคือปราศจากเชื้อ   หรือมีการปนเปื้อนน้อย เปรียบเทียบกับการใช้ชิ้นส่วนจากหัว    จะมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราสูงมาก ต้นเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจะใช้เวลาประมาณ 1 ½ - 2 ปี ที่จะให้ดอกและหัวพันธุ์ที่ได้คุณภาพ

โรคและแมลงศัตรู


 โรคที่สำคัญคือโรคหัวเน่า ใบจุด และใบใหม้   ซึ่งจะระบาดช่วงฝนตกชุก  แต่ไม่พบแมลงศัตรูสำคัญ  โรคเน่าเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดของพืชสกุลนี้   โดยโรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Pseudomonas solanacearum      ซึ่งเป็นเชื้อโรคเหง้าเน่า เชื้อนี้เติบโตได้ดีในดินที่มีสภาพเป็นด่างโรคนี้เป็นปัญหาสำคัญในการป้องกันกำจัด  เนื่องจากเชื้อนี้สามารถพัฒนาพันธุ์ให้ต้านทานสารเคมีได้เร็ว มีพืชอาศัยหลายชนิดและยังสามารถพักตัวอยู่ในดินได้นานนับปี   ลักษณะอาการของโรค ระยะเริ่มแรกใบแก่ที่อยู่ตอนล่างๆ จะเหี่ยวตกลู่ลง  ต่อมาจะม้วนเป็นหลอดและเหลือง  ลามจากล่างขึ้นไปยังส่วนบน จนเหลืองแห้งตายทั้งต้น บริเวณโคนต้นและหน่อที่แตกออกมาใหม่มีลักษณะช้ำฉ่ำน้ำจะเน่าเปื่อยหักหลุดออกจากหัวได้ง่ายเมื่อผ่าต้นดูจะเห็นข้างในเป็นสีคล้ำหรือน้ำตาลเข้มและมีเมือกเป็นของเหลวสีขาวข้น   ซึมออกมาตรงรอยแผล  หัวอ่อนที่เป็นโรคจะมีรอยช้ำฉ่ำน้ำ  เมื่ออาการรุนแรงขึ้นหัวจะเปื่อยยุ่ยและสีคล้ำขึ้น    เมื่อผ่าหัวจะพบรอยคล้ำเป็นสีม่วงน้ำเงินจาง ๆ   จนถึงสีน้ำตาลและมีเมือกสีขาวซึมออกมาตรงรอยแผล  พืชอาศัยของเชื้อ Pseudomonas solanacearum    เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคเหี่ยวกับพืชเศรษฐกิจหลายชนิดในเขตร้อน   เขตกึ่งร้อน   และเขตอบอุ่น      ได้แก่ มันฝรั่ง มะเขือเทศ มะเขือ พริก ถั่วลิสง พริกไทย กล้วย ขา ขิง ต้นสัก มะกอก หม่อน มันสำปะหลัง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังสามารถเกาะกินพักตัวกับพืชนอกฤดูปลูก วัชพืชมากกว่า 64 ตระกูล และไม้ดอกอีกหลายชนิด

ความต้องการของตลาด

          ในการส่งออกปทุมมาสามารถส่งออกได้ 2 รูปแบบ คือ รูปของหัวพันธุ์     และไม้ตัดดอกส่วนใหญ่ปทุมมาจะส่งออกในลักษณะของหัวพันธุ์มาตรฐาน   หัวพันธุ์ปทุมมาที่ส่งออก ควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 นิ้ว  มีตุ้มอาหารตั้งแต่ 4 ตุ้มขึ้นไป ตุ้มต้องไม่หัก  ไม่เป็นโรค    และต้องทำความสะอาดไม่มีดินติดไป สำหรับไม้ดอกกลุ่มปทุมมามีข้อได้เปรียบตรงที่ก้านช่อดอกยาว  ช่อดอกชูเหนือทรงพุ่ม น้ำหนักน้อย ขนส่งง่าย อายุการใช้งานค่อนข้างทน จึงได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ และมีการส่งออกมากที่สุดในสกุลขมิ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่น ชอบโทนสีชมพูหวานๆ จะเป็นผู้สั่งซื้อรายใหญ่  พันธุ์การค้าในขณะนี้มีเพียงพันธุ์เดียวคือพันธุ์เชียงใหม่  ซึ่งมีใบประดับสีชมพู  ถ้าไม่มีแต้มสีน้ำตาลที่ปลายกลีบ     ตลาดจะมีความต้องการสูง ลักษณะพันธุ์ที่ต้องการเพื่อใช้เป็นไม้ตัดดอก  คือ ต้องมีก้านดอกแข็งแรง แต่ไม่อ้วนจนเกินไป จำนวนกรีบรองดอกมีมากพอสมควร คือ10 - 14 กลีบ และมีสีกลีบประดับบริสุทธิ์ ลักษณะพันธุ์ที่ต้องการเพื่อทำเป็นไม้กระถาง คือ ลักษณะก้านดอกค่อนข้างสั้น  เพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย  และไม่ล้มง่าย ใบสวย  สามารถให้ดอกพร้อมกันในกระถางอย่างน้อย 3 ดอก อายุการให้ดอกนาน

การเก็บเกี่ยวและการบรรจุหีบห่อ
           การตัดดอกควรตัดดอกในระยะที่ดอกจริงบานแล้วทั้งหมด 3 – 5 ดอก  โดยให้ใบติดมาด้วย 1 – 2 ใบ ในกรณีปทุมมาพันธุ์เชียงใหม่ จะใช้เวลา 35 – 120 วัน หลังจากปลูก  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับคุณภาพหัวพันธุ์ ควรเก็บเกี่ยวในตอนเช้า  และแช่โคนก้านช่อดอกในน้ำสะอาดทันที การเก็บเกี่ยวหัวพันธุ์ เมื่อใบ และลำต้นเตรียมแห้งและยุบตัวลง เหลือแต่เหง้าและตุ้มรากฝังตัวอยู่ในดิน  ในช่วงนี้ต้องเริ่มงดน้ำ  เพื่อให้หัวพันธุ์มีการสะสมอาหารที่หัวเต็มที่ และป้องกันไม่ให้เหง้าและรากสะสมอาหารเน่า  แต่ก่อนขุดควรรดน้ำจะช่วยให้ดินอ่อนตัวลงเพื่อความสะดวกในการขุด  และแยกหัวพันธุ์ที่ขุดได้ออกจากดินหลังจากขุดแล้วต้องนำไปล้างทำความสะอาด แล้วนำมาจุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อราและแมลง ผึ่งบนตะแรกงในที่ร่ม  ระบายอากาศดีเพื่อให้ผิวนอกของเหง้าแห้งสนิท  การคัดขนาดหัวพันธุ์ส่งออก  แบ่งเป็น 3 เกรด คือ หัว กลาง ท้าย หัว คือ หัวพันธุ์ที่คัดเลือกว่ามีลักษณะดีเด่นที่สุด มีตุ้มอาหารมากว่า 4 ตุ้มอาหารขึ้นไป  มีน้ำหนักมาก   ซึ่งจะเก็บไว้เป็นหัวพันธุ์ต่อไป  กลางคือหัวพันธุ์ที่มีตุ้มอาหาร 3 – 4 ตุ้มอาหารขึ้นไป   สามารถส่งออกได้และท้ายคือหัวที่มีตุ้มอาหารน้อยกว่า 3 ตุ้ม  ไม่สามารถส่งออกได้   การบรรจุหีบห่อ เป็นแบบกล่องกระดาษ  ขนาดความสูงประมาณกล่องลำไย  ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์รองก้นกล่อง เจาะรูหัว – ท้าย และด้านข้างกล่อง เพื่อให้มีการระบายอากาศ

ข้อควรรู้
           เนื่องจากปทุมมา เป็นพืชที่มีศักยภาพในการส่งออก สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศหลายล้านบาท และมีแนวโน้มในการส่งออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้เกษตรกรสนใจหันมาปลูกกันมากขึ้น    จึงทำให้เกิดปัญหาในการส่งออกหัวพันธุ์     แต่เนื่องจากหัวพันธุ์มีเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคหัวเน่า  ประเทศผู้นำเข้าอาจงดการนำเข้าหัวพันธุ์จากประเทศไทย  กรมวิชาการเกษตร จึงได้มีข้อควรรู้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น  โดยมีข้อควรรู้แก่ผู้ผลิตและผู้ส่งออก ควรนำไปปฏิบัติซึ่งอาจเป็นมาตรการสำหรับผู้ผลิตและผู้ส่งออกในอนาคต ดังนี้
          การขึ้นทะเบียนผู้ปลูก  ผู้ส่งออกปทุมมา โดยผู้ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้จะไม่สามารถส่งออกได้  และการตรวจสอบหัวพันธุ์ที่จะส่งออก เพื่อให้ใบรับรองปลอดโรค    รวมถึงการตรวจแปลงปลูกเป็นระยะๆโดยนักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตรเพื่อที่จะให้ใบรับรองปลอดโรคแก่ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตที่แจ้งควาจำนงไว้  นอกจากนั้น ผู้ผลิตหัวพันธุ์ปทุมมาเพื่อการส่งออก  จะต้องมีการปฏิบัติดูแลรักษาตามหลักมาตรฐานที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด  เช่น ใช้หัวพันธุ์ปลอดโรค  การปฏิบัติดูแลแปลงตามมาตรฐานที่กำหนดอื่นๆ   ผู้เขียนหวังว่าเรื่องราวของปทุมมาที่นำมาฝากผู้อ่าน จะเป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกร หรือผู้ที่กำลังมองหาอาชีพด้านการเกษตร  และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่จะสามารถทำให้เกษตรกรมีทางเลือก จากข้อมูลที่ผู้เขียนนำเสนอมาจะเห็นว่า   ปทุมมาเป็นดอกไม้ที่กำลังได้รับความนิยมไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีความนิยมในต่างประเทศอีกด้วย
          จากตัวเลขความต้องการของดอกกระเจียวจะเห็นว่า   ความต้องการมีมากกว่ากำลังการผลิตนั้นแสดงว่า   ขณะนี้กระเจียวกำลังเป็นดอกไม้เศรษฐกิจที่กำลังมีแนวโน้มที่ดีในตลาดเกษตรกร      หรือผู้ใดสนใจหากจะหันมาปลูกกระเจียวควรจะศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
จากนักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร เริ่มตั้งแต่การปลูก ไปจนถึงการส่งออก เนื่องจากว่ามีขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย สุดท้ายกระเจียวจะเป็นดอกไม้ที่จะสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ที่ใครๆ  ไม่ควรจะมองข้ามจริง ๆ ..

ข้อมูล: บางส่วนจากกรมส่งเสริมการเกษตร และ หนังสือสารานุกรม "ไม้ประดับในประเทศไทย เล่ม1
ภาพ : จากอินเตอร์เน็ต